Saturday, December 1, 2012

คุณสามี (กำมะลอ) ที่รัก ตอนที่ 1

คุณสามี (กำมะลอ) ที่รัก ตอนที่ 1
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


      คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก ตอนที่ 1 
      
       ยาม เช้าบนดอยสวยม่อนแจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ พิมภา สาวนักการตลาด มือขวาสำคัญของ บริษัท Naree หันสีหน้าท่าทีรำคาญนิดๆ ที่กำลังถูกนันทิกานต์ เพื่อนซี้คู่หูขาลุยถ่ายรูปในหลายส่วน             “หนึ่ง สอง”
       พิมภาหันหน้าหนี นันทิกานต์ก็ยังพยายามจะตามถ่ายรูปพิมภาอีก แม้ว่าพิมภาจะหันหน้าหนีอีกก็ตาม
       “ยิ้มหน่อยสิไอ้พิม จะได้ส่งไปสอพลอให้ท่านประธานดูว่าเรามาทำงานจริง”
       จบคำของนันทิกานต์ พิมภาหันมายิ้มสวยใส่กล้องแล้วโพสท่าสวยงามมากจนราวกับเป็นนางแบบมืออาชีพ
       พิมภาแต่งชุดกึ่งกิโมโนถือกล่องของขวัญเก๋ ๆ อยู่ด้วย






       ชุดกึ่งกิโมโนแบบสมัยใหม่นี้ เป็นเสื้อแขนกิโมโนสีแดงลวดลายลายดีไซน์เป็นดอกซากุระดอกย่อมสำหรับสวมทับกับเสื้อด้านใน ความยาวทิ้งชายมีคลุมแค่เข่าเพื่อความทะมัดทะแมง ซึ่งชายนี้ไว้สำหรับทับส่วนที่เป็นกางเกงรัดรูปแบบสามส่วนในสีเดินกัน เพื่อความคล่องตัวในการเดินเหินของสาวสมัยใหม่ รองเท้าเป็นแบบสายหนีบในแนวเกี๊ยะญี่ปุ่น บนศีรษะนำช่อดอกไม้มาร้อยเป็นที่คาดผม
       นันทิกานต์ลดกล้องลงมองอย่างเซ็ง ๆ
       “เยอะแล้วไอ้พิม แค่ให้ยิ้มไม่ได้ให้เยอะ”
       พิมภายิ้มรับบอก
       “ระดับพิมภาน้อย ๆ ไม่ เยอะ ๆ จัดไป”
       “ที่จัดมาเนี่ยจัดว่าเยอะมาก หลงประเทศหรือเปล่าจ๊ะ”
       พิมภามองกลับแล้วว่า
       “แกน้อยมากเลยนะไอ้แนนเชียงใหม่ปลายฝนล่อโอเวอร์โค้ทยังกับสององศาแถวเทือกเขาหิมาลัย”
       “ฉันน่ะแต่งตัวสากล แต่แกน่ะเปิดตาดูหน่อยนี่มันบนดอยนะยะไม่ใช่ฮอกไกโด ไม่จัดกิโมโนเต็มยศเลยล่ะ”
       “สมองเท่าขี้หูมดจริงๆ เลยแกนี่ เราเป็นตัวแทนบอสมาร่วมยินดีกับลูกค้าชาวญี่ปุ่น แกจะให้ฉันแต่งชุดฮาวายเต้นฮูลาฮูล่ายินดีกับเขาหรือไง แล้วก็นี่ เข้ากับชุดเลยมะ” พิมภาพูดพลางชี้ไปที่ผม
       นันทิกานต์ชักโมโห
       “นี่แกเด็ดดอกนางพญาเสือโคร่งตอนขึ้นดอยเมื่อวานมาเหรอ ยัยพิมนี่มันสมบัติชาตินะ”
       “บ้าหรือไง สวยมีมโนธรรมอย่างฉันไม่เลวทำลายธรรมชาติหรอกน่า ฉันเก็บที่มันหล่นๆ มาใช้ย่ะ”
       พิมภามองนาฬิกาแล้วตกใจบอก
       “เก้าโมงครึ่ง ตาย ๆ มิสเตอร์ไดซุเกะจะถ่ายวีดีโอพรีเซ้นต์งานแต่งเสร็จประมาณสิบโมง รีบไปเร็วแก ต้องไปเดินหาอีก”
       “เขาถ่ายกันบนนี้ไม่ใช่เหรอค่อยๆ หาก็ได้” นันทิกานต์บอก
       “พูดไม่คิด ดอยนี้มันตั้งกี่สิบไร่ คิดว่าหาเจอง่ายๆ เหรอไง”
       “ก็โทรถามสิยะ”
       “เออ...จริง”
       พิมภารีบรื้อ ๆ พยายามหาแต่หาไม่เจอ พิมภาหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาไว้บนพุ่มไม้ข้างๆ
       “เร็วสิแก” นันทิกานต์ว่า
       “ก็รีบอยู่”
       พิมภาบอกพลางเร่งรีบค้นจนเจอนามบัตรแล้วหยิบมือถือมากดโทรออก
       “สวัสดีค่ะ เรียนสายมิสเตอร์ไดซุเกะค่ะ”
       พิมภานิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งแจ้งไปว่า
       “อ้อ ทีมงาน สวัสดีค่ะ ดิฉันจะมาพบมิสเตอร์ไดซุเกะค่ะ ไม่ทราบว่าถ่ายวีดีโอกันอยู่บริเวณไหนคะ”
       พิมภาฟังโทรศัพท์ไปแล้วหันมากวักมือให้นันทิกานต์เดินตาม ทั้งคู่เดินออกไป แต่ลืมกระเป๋าตังค์พิมภายังวางไว้บนพุ่มไม้
      
       ที่มุมสวยอีกมุมหนึ่งของดอยม่อนแจ่มในเวลาเดียวกัน น้ำค้างจากดอกไม้สวยหยดลงที่หน้าผากของฤชวี (ริด-ชะ-วี) เขาสะดุ้งเงยหน้ามองแล้วยิ้มน่ารักก่อนจะยกกล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิล์มถ่ายภาพดอกไม้ก่อนจะหันกล้องไปอีกทางเพื่อเก็บบรรยากาศภาพวิวสวยบนดอยสูง ฤชวีถ่ายภาพแล้วหยิบสมุดขึ้นมาจด
       ฤชวี วัย 30 เป็นทายาทมหาเศรษฐีที่ดินในจังหวัดเพชรบูรณ์ เขาเป็นนักเขียนนวนิยายระดับเบสท์เซลเลอร์ เขาเป็นหนุ่มหน้าใส ผู้รักอิสระ หัวใจอบอุ่น บุคลิกเซอร์สะอาด อารมณ์ดีขี้เล่น หุ่นสะท้านใจสาว เจ้าชู้ถึงขั้นกระล่อน
       “กระซิบรักในสายลม...” ฤชวีครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพึมพำกับตัวเองก่อนมองไปรอบๆและลงมือจด
       “ อืม...เน่าไปไหมเนี่ย...เปิดบทแรกบนดอยสูง ท่ามกลางทะเลหมอก...ต้องฝึกพรรณาโวหารอีกเยอะนะเรา เก็บภาพท่าจะง่ายกว่า”
       ฤชวีนั่งมอง ๆแล้วยกกล้องขึ้นเก็บภาพ
       “พระเอกมาจากมุมนี้ แล้วเดินถ่ายรูปมาตามทางเดิน จนกระทั่งถึงทางแยกแล้ว...”
       ฤชวีชะงัก ยกกล้องเล็งไปอีกทางที่เป็นมุมทางลาดที่เขายืนอยู่สูงกว่า ผ่านกล้องถ่ายรูปเขาเห็นพิมภากำลังเดินขึ้นบันไดทางลาดขึ้นมา
       ใบหน้าของพิมภาสวยหวานกำลังเลี้ยวจากพุ่มไม้เดินตรงมาทางฤชวี เขายืนมองเธอด้วยสายตาอึ้งตะลึง พิมภาเดินมองหาแล้วหันมาทางฤชวี พิมภายิ้ม
       ฤชวีลดกล้องลงแล้วพึมพำราวเพ้อ
       “ ซากุระ...งาม...”
       ฤชวียืนตะลึงกับรอยยิ้มของพิมภา แล้วยิ่งตะลึงที่เห็นว่าเธอกำลังเดินตรงเข้ามาหาตัวเอง พิมภาเดินมาหยุดตรงหน้าฤชวีแล้วยิ้มมากขึ้น
       “ขอโทษนะคะ”
       ฤชวียิ้มตอบทำอะไรไม่ถูก
       “ครับ”
       “ขอทางหน่อยค่ะ.”
       “หะ”
       พิมภายิ้มแล้วชี้ไปทางด้านหลังฤชวี เขาหันกลับไปมอง เห็นที่ปลายทางเดินมีกองถ่ายวิดีโอเล็ก ๆ ที่ช่างภาพกำลังตั้งกล้อง และเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่แต่งชุดแต่งงานกำลังเตรียมจะถ่ายวีดีโอ
       ฤชวีรีบขยับหลบให้
       “เชิญครับ”
       “ขอบคุณค่ะ”
       พิมภารีบเดินไป นันทิกานต์วิ่งตาม
       “รอด้วย”
      
       นันทิกานต์วิ่งผ่านหน้าฤชวีตามพิมภาไป เขามองตามด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มมาก
       สองสาวเดินเข้ามาตรงมุมที่ไดซุเกะกับวาณีกำลังนั่งบนเก้าอี้เก๋ๆ ถ่ายวีดีโอพรีเซนต์ พิมภากับนันทิกานต์ยืนดูอยู่ข้างกล้อง ทีมงานยิงคำถาม
      
       “พูดถึงความประทับใจที่มีต่อเจ้าสาวค่ะ”
       ไดซุเกะพูดไทยไม่ชัด
       “เอ๋เป็นผู้หญิงที่น่ารักสดใส ครั้งแรกที่ได้เห็นเขา ผมก็รู้เลยว่าเขาเป็นอีกครึ่งชีวิตที่หายไป เมื่อเราคบกันผมก็ได้รู้ว่า เขารักผมมากจนผมคิดว่าคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา”
       ไดซุเกะพูดด้วยความรู้สึกที่รักมาก เอ๋ฟังแล้วมีปาดน้ำตาซาบซึ้ง
       “อื้อหือ..ซาบซึ้งน้ำตาจะไหลว่ะแก” นันทิกานต์บอก
       พิมภารู้สึกซึ้งเหมือนกันแต่ฟอร์ม “อือ”
       ไดซุเกะกับเอ๋มองหน้ากันอย่างตื้นตันพูดไม่ออก ไดซุเกะซังโยกหัวเอ๋เบาๆ อย่างเอ็นดู
       “ไดซุเกะซังเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ดูแลและใส่ใจเอ๋มาก การที่ผู้หญิงคนหนึ่งได้อยู่กับคนที่รักเรา และเราก็รักเขา เอ๋เชื่อว่านั่นคือความสุขค่ะ”
       ไดซุเกะน้ำตาไหลจนต้องปาดน้ำตา สองคนมองหน้ากันหัวเราะให้กันที่ห้ามน้ำตาแห่งความตื้นตันไว้ไม่ได้ เอ๋ขยับเข้ากอด ไดซุเกะโอบตอบด้วยความรัก เอ๋ซุกหน้ากับอกชายคนรักชาวญี่ปุ่นและพยายามจะห้ามน้ำตาไว้ แต่ไม่เป็นผล
       พิมภาปาดน้ำตาที่รินไหล เป็นจังหวะนันทิกานต์หันมาเห็นพอดีก็แซว
       “ถึงกับน้ำตาร่วงเลยเหรอเพื่อน”
       “ก็ซึ้งอ่ะ”
       นันทิกานต์โอบไหล่พิมภาแล้วบอก
       “กลับไปแกก็ต้องถ่ายวีดีโองานแต่งของแกเหมือนกันนี่ งานตัวเองไม่น้ำตาแตกยิ่งกว่าเหรอยะ”
       เพื่อนรักเห็นพิมภาทำหน้าเซ็งแล้วบอก
       “ไอ้พิม ฉันว่าแกยกเลิกงานตอนนี้ยังทันนะ ไอ้พี่เอกเนี่ย ฉันว่า...”
       พิมภายกมือปิดปากนันทิกานต์
       “หยุดเลยไอ้แนน ฉันตัดสินใจไปแล้วใครก็เปลี่ยนไม่ได้”
       นันทิกานต์พยายามจะพูด ปากที่ถูกปิดไว้ ได้แต่ร้อง “อื้อ...อื้อ”
       ไดซุเกะกับเอ๋ลุกขึ้นหลังจากที่ถ่ายวิดีโอพรีเซนต์เสร็จแล้ว พิมภารีบเดินเข้าไปหาไดซุเกะทันที
       “สวัสดีค่ะ ดิฉันพิมภาเป็นตัวแทนจากบริษัทNaree คุณสุกัญญาติดธุระด่วน เลยให้ดิฉันนำของขวัญมาร่วมยินดีกับมิสเตอร์ค่ะ”
       ไดซุเกะยิ้มรับ พิมภายิ้มรับให้กับว่าที่คู่บ่าวสาวทั้ง 2 คน
       “ยินดีด้วยนะคะ การได้พบคนรักที่ดีนับเป็นของขวัญที่วิเศษมากค่ะ”
       “เอ๋เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนจะมีของขวัญของตัวเอง แค่ว่าเขาจะมาเร็วหรือช้าน่ะค่ะ”
       “ค่ะ ก็หวังว่าจะไม่ช้ามาก” พิมภาตอบแบบขำๆ
       ฤชวีมองมาเห็นพิมภายิ้มสวยก็รีบลั่นชัตเตอร์เก็บภาพทันที เสียงมือถือดัง ฤชวีซึ่งสวมสมอทอล์คอยู่รีบกดรับ
       “ผมอยู่ที่เชียงใหม่ ถ้าถามทั่ว ๆ ไปผมสบายดี แต่ถ้าถามถึงงาน ผมมาถ่ายรูปเก็บไปใช้ในนิยายเรื่องใหม่ มาสถานที่จริงตามหาแรงบันดาลใจ”
      
       ภายในสำนักพิมพ์ที่กรุงเทพฯ ในเช้าเวลาเดียวกัน กิ่งแก้ว บรรณาธิการหนังสือกำลังใช้ไอแพดดูแบบร่างบู๊ธการจัดหนังสือโชว์ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ
       “อย่าหานานนักนะต้น อีกสามเดือนจะมีสัปดาห์หนังสือแล้ว กิ่งอยากได้หนังสือของต้นมาเป็นเบสท์เซลเลอร์ให้หนังสือกิ่งสักหน่อย”
       “สามเดือน กิ่งครับ สมองผมไม่ใช่ก๊อกน้ำนะ เปิดปุ๊บจะได้ไหลปั๊บ” ฤชวีบอก
       “เรื่องที่แล้วต้นใช้เวลาสองเดือนเองนะกิ่งจำได้”
       “นั่นมันนิยายกึ่งสารคดีนะกิ่ง แต่นี่มันเรื่องรัก ๆ ผมไม่มั่นใจว่าสมองจะแล่น”
       “ต้นก็หาแฟนสักทีสิจะได้เขียนเรื่องรัก ๆ ได้ลื่นปรื้ด ลื่นปรื้ดสักที หามาตั้งหลายปีแล้ว หาเจอหรือยัง”
       ฤชวีมองที่พิมภาแล้วบอก
       “ก็...น่าจะเจอแล้วนะ”
      
       พิมภากับนันทิกานต์ยืนดูภาพถ่ายที่ไดสุเกะกับเอ๋จูงมือกัน บังเอิญเสียงท้องนันทิกานต์ดันร้อง โครก! จึงหันมองพิมภาที่ยังมองทางว่าที่คู่บ่าวสาวอย่างคิดหนัก
       “ไอ้พิม ของก็มอบเสร็จแล้วจะยืนดูอะไรอีก ไอ้พิม”
       “ฉันกำลังศึกษาไว้เป็นข้อมูลเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปถ่ายวีดีโอเหมือนกันรอแป๊บได้ป่ะ”
       “ฉันหิวจนลมขึ้นแล้วนะแก”
       “อีกนิดน่า”
       “ถ้าฉันหิวอีกนิด ลมจะออกทางอื่น ไม่รับประกันความเหม็นในรถนะเว้ย”
       “เอางี้ แกไปซื้ออะไรที่ร้านค้าสวัสดิการรองท้องก่อนไป”
       นันทิกานต์แบมือ
       “งบบริษัทนี่”
       ฤชวีที่กำลังคุยกับกิ่งแก้วและยกกล้องถ่ายรูปไปด้วยแต่ฟิล์มเกิดหมด
       “กิ่ง...ผมเปลี่ยนฟิล์มแป๊บนึงนะ”
       ฤชวีก้มลงจัดการเปลี่ยนฟิล์ม
      
       พิมภาส่ายหน้าเซ็งๆ เปิดกระเป๋าสะพายจะหยิบกระเป๋าเงิน แต่พอล้วงแล้วไม่เจอก็ชะงักแล้วยกกระเป๋าขึ้นมาพลางควาน ๆ ๆ ค้นๆ ๆ ด้วยท่าทางตื่นตกใจมาก
       “อะไร เป็นอะไรต้องทำหน้าชะนีตื่นไฟขนาดนั้น”
       “ไอ้แนน กระเป๋าตังค์ฉัน....หาย”
       นันทิกานต์อุทาน
       “รวย ๆ ๆ”
       “รวยที่ไหน ซะ...” พิมภาจะกำลังจะพูดว่า ซวยสิแก แต่นันทิกานต์รีบปิดปากเพื่อนไว้
       “ อย่าพูดคำไม่ดี ชีวิตจะเป็นตามคำพูด”
       นันทิกานต์พูดประดยคสวยๆแล้วก็โวยวายขึ้นทันที
       “ในกระเป๋ามีเงินกับบัตรที่ฉันฝากแกไว้ด้วยนะยัยพิม แกเห็นกระเป๋าครั้งสุดท้ายที่ไหนนึกเร็วแกนึก”
       นันทิกานต์เขย่าพิมภาอย่างสุดตัว
       “โอ้ย เขย่าจนสมองไปกองตาตุ่มแล้ว ขอคิดก่อนได้ไหม”
       พิมภาคิด ๆ แล้วรีบวิ่งไป นันทิกานต์ก็วิ่งตามไป ฤชวีเปลี่ยนฟิล์มเสร็จเรียบร้อย จะลุกขึ้นจะยกกล้องถ่ายก็ชะงักที่ไม่เห็นพิมภาแล้ว เขาส่ายสายตามองหา
       “ไปไหนแล้ว”
      
       ฤชวีรีบออกเดินตามหาในทันที
       ระหว่างที่ฤชวีเดินตามหา กิ่งแก้วที่รอสายอยู่นานก็พูดขึ้น
      
       “ยังเปลี่ยนฟิล์มไม่เสร็จอีกเหรอต้น ต้น”
       ฤชวีรู้สึกตัว
       “ฟิล์มน่ะเปลี่ยนเสร็จแล้ว แต่ผมกำลังเดินหาเค้าอยู่”
       “เค้าเหรอ ผู้หญิงหรือผู้ชายจ๊ะ”
       “ผู้หญิง”
       “คิดไม่ออกเลยว่าผู้หญิงแบบไหนน้าที่โดนใจนายฤชวี ถึงกับต้องเดินหา...แบบนี้ต้นก็ไม่ใช่เก้งกวางแล้วสิ” 
       “กิ่ง ไหงยัดข้อหาให้ผมแบบนั้นล่ะ”
       ฤชวียิ้มขำ ๆ แล้วเดินออกไปอีกทาง
      
       ฤชวีเข้ามามองหา กิ่งแก้วยังพยายามจะคุยเรื่องงาน
       “ก็ประมาณ...กระซิบรักในสายลม” ฤชวีบอก
       “เชยได้ใจมาก เนื้อเรื่องจะยุงชุมขนาดไหน”
       “ก็แบบพระเอกพบกับนางเอกบนกันบนดอยสูงแบบบังเอิญ แล้วพระเอกก็ไม่รู้จักชื่อนางเอก แต่เก็บช่อซากุระที่ประดับผมเธอก็เลยตั้งชื่อเธอว่าซากุระ”
       “ไม่น่าเชื่อว่าต้นจะมาแนวหวานแบบนี้ด้วยนะ”
       “ได้ หวานก็พอได้นะ”
       ฤชวียังคงส่ายสายตามองหาพิมภา แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไป เห็นกระเป๋าเงินของพิมภาที่ลืมวางทิ้งไว้บนพุ่มไม้ เขาเดินไปหยิบขึ้นมาดู
       “ของใครเนี่ย”
       “มีอะไรเหรอต้น” กิ่งแก้วถาม
       “ผมเจอกระเป๋าเงิน น่าจะเป็นของผู้หญิงคงลืมไว้”
       “เดี๋ยวเขาคงกลับมาเอาล่ะมั้ง ลองเปิดดูบัตรข้างในก่อนสิจะได้คืนถูกคน”
       ฤชวีตัดสินใจเปิดกระเป๋าดูเพื่อหาบัตรประชาชน แต่พอเปิดปั๊บเห็นตรงช่องที่ใส่รูปเป็นรูปของตรีวิญสมัยอายุสัก 17อยู่ในกระเป๋า
       “เจอบัตรไหมต้น”
       “กำลังหาอยู่ แป๊บนะกิ่ง”
       พิมภาวิ่งนำนันทิกานต์มาทันเห็นฤชวีกำลังค้นกระเป๋าตัวเองก็ชะงัก นันทิกานต์เดินชนเข้าเต็มที่
       “ไอ้พิม หยุดทำ...”
       นันทิกานต์จะถามว่า หยุดทำไม แต่โดนพิมภาปิดปาก พิมภาส่งสัญญาณให้มองตาม นันทิกานต์มองตามตกใจ เอามือออก พูดได้ยินกันสองคน
       “เฮ้ย มันกำลังจะค้นเอาตังค์แล้วแก”
       “วอนซะแล้ว” พิมภาว่าแล้วก็ถอดรองเท้าเกี๊ยะออกมา ส่งยิ้มร้ายกับนันทิกานต์ที่ยิ้มตอบบอก
       “จัดไป”
       ฤชวีพยายามค้นจนเห็นขอบบัตรประชาชน เขาจะดึงบัตรประชาชนออกมา แต่เป็นจังหวะที่ลมพัดแรงจนใบไม้เล็ก ๆ ปลิวไปทั่ว เขาเงยหน้ามองตามใบไม้ปลิวที่ถูกแรงลมอุ้มปลิวมาอยู่ตรงหน้า
       ทันใดนั้น สายตาของฤชวีก็เห็นเกี๊ยะญี่ปุ่นข้างหนึ่งลอยเข้ามาในสายตาพุ่งผ่านหน้าฤชวีไป เขามองตามทิศทางที่รองเท้าเกี๊ยะพุ่งผ่านไป เห็นเกี๊ยะกระแทกฝังเข้าไปในต้นไม้ที่อยู่ถัดไป เขาลองใช้มือดึงๆ ปรากฎว่าติดแน่นมาก
       “เฮ้ย” ฤชวีร้องเบาๆ อย่างประหลาดใจ
       กิ่งแก้วยังอยู่ในสายพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
       “มีอะไรแหรอต้น”
       “มีเกี๊ยะลอยมาปักต้นไม้ มัน...”
       พูดยังไม่ทันจบ เสียงพิมภาก็ณ้อง “ไฮ้” ดังขึ้น
       ฤชวีหันมองตามเสียงก็เห็นเห็นเกี๊ยะอีกข้างที่พุ่งมาอย่างเร็วและแรง เขาตกใจ ร้องเสียงดังลั่น
       “เฮ้ย”
       ร้องยังไม่ทันสิ้นเสียง เกี๊ยะข้างนั้นพุ่งเข้าปะทะหน้าผากฤชวีจนหงายหลังลงไปกองกับพื้น
       พิมภากับนันทิกานต์วิ่งเข้ามา
       “คิดจะขโมยกระเป๋าฉันเหรอ ไอ้เลว”
       ฤชวีเริ่มตั้งสติได้ร้องบอก
       “เดี๋ยวๆ ๆ ผมไม่ใช่ขโมย”
       พิมภาเห็นฤชวีถอยหลังจึงว่า
       “ยัง ๆ ยังคิดจะหนี”
       พิมภาตรงเข้าขยับชุดตัวเองแล้วเหวี่ยงเตะเข้าเป้าของเขา
       “โอ๊ก”
       ฤชวีจุกทรุดพยายามยกมือห้ามบอก
       “ผมไม่ใช่ขโมย”
       “หลักฐานคาตาเนี่ย”
       “มือเท้ามีทำไมไม่หางานทำ ขโมยเขากินน่ะไม่อายหรือไง มีศักดิ์ศรีบ้างไหม เป็นมิจฉาชีพ ขโมยเงินนักท่องเที่ยวแบบนี้ หากินกับความลำบากของคนอื่น ทำลายชื่อเสียประเทศทุเรศที่สุด”
       พิมภาจับคอเสื้อฤชวีเขย่า ๆ ๆ จนหัวของเขาโขกกับต้นไม้ ก่อนจะกระชากกระเป๋ามาจากมือฤชวี
       พิมภาเข้ามาหยิบกระเป๋าเงินมาเช็กดูข้าวของ นันทิกานต์ถามขึ้น
       “ครบไหม ดีนะที่เรากลับมาทัน”
       พิมภาพยักหน้าตอบนันทิกานต์
       “ผมไม่ได้ขโมยจริงๆ นะครับ” ฤชวียืนยัน
       “หุบปาก ไปแก้ตัวกับตำรวจก็แล้วกัน ช่วยกันลากตัวไปหาเจ้าหน้าที่อุทยาน จับนอนคุกให้เข็ดเลยแนน ไป”
       นันทิกานต์กระชากฤชวีให้ลุกจะเดิน เขาพยายามอธิบายเต็มที่
       “ผมไม่ได้ขโมยจริงๆ คุณลืมไว้...”
       “ยังจะโกหกอีก”
       “จริงๆ นะครับ ผมเก็บได้ที่พุ่มไม้โน่น”
       พิมภายิ้มเหยียดบอก
       “ตลกเลย ตั้งแต่มาถึงนี่ ฉันไม่ได้หยิบกระเป๋าเงินออกจากกระเป๋าสะพาย ฉันหยิบแต่นาม...”
       พิมภาพูดแล้วก็ชะงักเพราะนึกได้ ทั้งสองสาวหันมามองหน้ากันแล้วโพล่งขึ้นพร้อมกัน
      
       “เฮ้ย...ลืม” 
       ฤชวียิ้มประมาณว่าจำได้แล้วใช่ไหม? พิมภากับนันทิกานต์เริ่มหน้าเสีย นันทิกานต์มองกล้องที่เขาสะพายอยู่ที่คอ
      
       “ไอ้พิม แกก็น่าจะดูให้ดีก่อน คุณคนนี้ห้อยกล้องราคาหลายหมื่นจะสนใจกระเป๋ากิ๊กก๊อกของแกทำไม”
       พิมภาหันขวับมายังนันทิกานต์ประมาณว่า อ้าว..โบ้ยกันซะงั้น พอหันกลับมาเจอฤชวีส่งยิ้มให้
       พิมภายกมือไหว้ยอมรับผิด
       “ขอโทษนะคะที่ฉันเข้าใจคุณผิดแล้วก็...”
       นันทิกานต์ยิ้มแหยก่อนรีบบอกพิมภา
       “มือหนักไปหน่อย ขอโทษค่ะ รีบไปเถอะ อายเค้า”
       นันทิกานต์วิ่งไปหยิบเกี๊ยะของพิมภา อันที่กระแทกหน้าฤชวีมาให้เพื่อน พิมภาวางเกี๊ยะลงพื้นสวมแล้วจะหันไปหาเกี๊ยะข้างที่ติดที่ต้นไม้ แต่ปรากฎว่าเกี๊ยะหายไปแล้ว
       “อยู่นี่ครับ”
       พิมภาหันไป ฤชวียิ้มสดใสคุกเข่าวางเกี๊ยะลงตรงหน้าพิมภา
       “รองเท้าครับ”
       พิมภาอึ้งๆ
       “ขอบคุณค่ะ”
       พิมภาสวมรองเท้าโดยมีฤชวีคุกเข่าอยู่ตรงหน้ายิ้มให้
       นันทิกานต์พูดกับตัวเอง
       “อั๊ยย่ะ...ไอ้พิม ยังกับนางซินเลยเว้ย”
       พิมภาเห็นที่หน้าผากของฤชวีเป็นรอยดำ ๆ ที่เกิดจากเกี๊ยะปะทะหน้า
       “หน้าผากคุณเปื้อนน่ะค่ะ”
       ฤชวีเผลอเอามือปาดแต่ปาดไม่ถูกที่สักที พิมภาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้
       “ขอโทษนะคะ”
       ฤชวีมองพิมภาอย่างเคลิบเคลิ้มแล้วยิ้มค้าง
       “เช็ดตรงนี้นะคะ”
       “ครับ”
       นันทิกานต์มองอาการเคลิ้มของฤชวี)แล้วว่า
       “โดนลูกตบเกี๊ยะแกจนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว”
       “ครับ”
       พิมภากับนันทิกานต์ร้อง”เฮ้ย” ขึ้นพร้อมกัน
       สองสาวมองอาการของฤชวีที่เคลิ้มด้วยความงงแล้วตัดสินใจหยิกแขนเขาอย่างแรง
       “ขอโทษนะคะ”
       ฤชวีสะดุ้งร้อง
       “ โอ้ยๆ คุณหยิกผมทำไมครับ”
       “ยังมีสติ ถ้าคุณไม่เป็นอะไรแล้วเราขอตัวก่อนนะคะ”
       “ครับ”
       พิมภากับนันทิกานต์ยิ้มให้ฤชวีแล้วจะเดินไป จู่ๆ พิมภาก็ชะงักหันมาหาฤชวีอีกครั้ง ฤชวีชะงัก เธอยิ้มอย่างรู้สึกผิดบอก
       “ฉันต้องขอโทษจริง ๆนะคะ”
       “ไม่เป็นไรครับ”
       ฤชวียกผ้าเช็ดหน้าในมือมาเช็ดที่หน้าผากแก้เขิน ทำตัวไม่ถูก นันทิกานต์รีบดึงพิมภาเดินเร็วๆ ไปด้วยความอาย เขามองผ้าเช็ดหน้าของพิมภาในมือ
       “คุณครับ...ผ้าเช็ดหน้า”
       ฤชวีหันไปไม่เห็นพิมภากับนันทิกานต์ในสายตาแล้ว เขาตัดสินใจเดินไปตามหา
      
       ลานจอดรถในเวลาต่อมา พิมภากับนันทิกานต์มาถึงรถญี่ปุ่นคันเล็กที่เช่ามาขับรายวัน ข้างรถมีสติ๊กเกอร์เล็ก ๆ speed rent a car ทั้งคู่ขึ้นรถ พิมภานั่งฝั่งคนขับ ก่อนเสียงมือถือจะดังขึ้น พิมภากดรับ
       “สวัสดีค่ะพี่เอก พิมขึ้นเครื่องไฟล์ทบ่ายสองค่ะ ถึงกรุงเทพฯก็คงสักบ่ายสามค่ะ”
      
       เอกพลลงจากรถหรูอย่างเท่ กำลังจะเดินเข้าร้านอาหาร
       “ถ้างั้นผมจะไปรอที่สนามบินตอนบ่ายสามนะครับ เราจะได้เลยไปถ่ายวีดีโอกันเลย แล้วจะได้ไปดูห้องจัดเลี้ยงด้วยว่าคุณชอบไหม”
       พิมภาสีหน้าเฉยเมยมากบอหเสียงนิ่ง
       “ก็ได้ค่ะ”
       “พิม คืนนี้มาดินเนอร์ที่ห้องผมไหม”
       พิมภารีบตัดบท
       “พิมเหนื่อยมากเลย ไว้กลับไปแล้วค่อยคุยกันนะคะ สวัสดีค่ะ”
       พิมภากดวางสาย เอกพลนั่งลงอย่างแค้น
       “กล้าตัดสายฉันเหรอ ถ้าไม่คิดว่าเธอมีประโยชน์นะ พิมภา”
       ปราสินีเดินเข้ามากอดเอกพลจากด้านหลัง มือของปราสินีลูบไล้ที่อก
       
       เอกพลยิ้มใช้มือจับมือปราสินีขึ้นมาจูบขณะยิ้มร้ายในสีหน้า

No comments:

Post a Comment